อาหารชั้นยอด

{ วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 }



อาหารที่หาได้ง่าย อร่อย และข้อสำคัญมีคุณค่าที่ร่างกายของคุณต้องการ



* ถั่วเหลือง การใช้ถั่วเหลืองทดแทนอาหารโปรตีนที่เป็นเนื้อสัตว์ สามารถลดคอเลสตอรอลได้ถึง 10 % นอกจากนี้ถั่งเหลืองยัง ป้องกันมะเร็ง และลดอาการกระดูกเสื่อม



* มันเทศ มีเบต้าแคโรทีนสูง อุดมด้วยวิตามินซี โปตัสเซี่ยม และไฟเบอร์



* บร็อคโคลี่ โคลี่ ช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ มีแคลเซี่ยม วิตามินซี และวิตามินเคสูง ซึ่งช่วยรักษาความเข็งแรงของกระดูก




* ถั่วดำ มีไปเบอร์มาก ช่วยลดคอเลสตอรอล ลดระดับกลูโคสในเลือด เป็นแหล่งวิตามิน B complex ที่สำคัญ




* กล้วย ย่อยง่าย มีไฟเบอร์สูง มีวิตามิน B complex และโปตัสเซี่ยม ซึ่งดีต่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ





* กระเทียม บำรุงระบบภูมิคุ้มกันการไหลเวียนของโลหิต ระบบปัสสาวะ บำรุงเนื้อเยท่อยกระเพราะรักษาระดับความดันเลือด ปรกติและช่วยร่างกายต่อต้านโรค เป็น แอนตี้ไบโอติก ตามธรรมชาติ



* มะละกอ มีเอนไซม์ที่เรียกว่า papain ช่วยร่างกายในการย่อยโปรตีน



* โยเกิร์ตไขมันต่ำ หนึ่งถ้วยมีแคลเซี่ยม 450 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของปริมาณแคลเซี่ยมที่เราควรได้รับในแต่ละวัน

ทางสู่ผิวเปร่งปลั่ง

{ วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 }


อยากให้ผิวพรรณสวยเนียน สดใส แก้มแดงเป็นสีกุหลาบ ลองทำตาม
วิธีต่อไปนี้ดูสิค่ะ

1. ขัดผิว...กระตุ้นการหมุนเวียนของผิว
การขัดผิวด้วยสครับ สัปดาห์ละครั้ง จะช่วยทำให้ผิวสะอาดหมดจดขึ้น
และยังเป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เร่งการผลัดเปลี่ยน
เซลล์ผิว ทำให้ผิวใหม่ดูมีเลือดฝาด เปล่งปลั่ง สดใสขึ้น

2. พอกหน้า...เพิ่มความเนียนนุ่มชุ่มชื้น
ลองใช้พวกมาสก์ หรือโคลนพอกหน้าทิ้งไว้ แล้วนอนแช่ตัวในในอ่างน้ำอุ่น
นอกจากจะเป็นการีแลกซ์อย่างจริงจังยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และ
หายหมองคล้ำ

3. เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวก่อนนอน
ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์บาง ๆ ในขณะที่ผิวเปียกชื้น จะทำให้เซลล์ผิว
ดูดซึมได้ดี รออีก 5 นาที ค่อยซ้ำอีกครั้ง มอยส์เจอร์ไรเซอร์ จะช่วยรักษา
ความชุ่มชื่นให้กับผิวได้ โดยเฉพาะการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ก่อนนอน
จะทำให้คุณได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะในขณะที่นอนหลับ เป็นช่วง
ที่กลไกการซ่อมแซมผิวทำงานอย่างเต็มที่

4. นวดสักนิด...ผิวใสแน่
ในขณะที่ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ ลองใช้มือทั้งสองข้างไล้จากกึ่งกลางคาง
นวดเป็นวง ขึ้นไปหาบริเวณกลางหน้าผากเบา ๆ แล้วค่อยไล้มือแต่ละข้าง
ลงมาบริเวณกรอบหน้า ทำประมาณ 10 ครั้ง จะช่วยให้ผิวนุ่มนวล
เปล่งปลั่งมากขึ่น

5. อาบน้ำเพื่อผิวผ่อง
กระตุ้นผิวด้วยการอาบน้ำอุ่นสลับกับน้ำเย็น โดยเริ่มจากน้ำอุ่น
ในช่วง 2-3 วินาทีแรก เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ แล้วตามด้วยน้ำเย็น
สัก 20 วินาที เพื่อกระชับผิว และช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
อาจจะทำร่วมกับการการนวดขัดผิวด้วย จะช่วยให้ผิวพรรณตึงกระชับ
และมีความยืดหยุ่นดี

6. นอนหลับให้เต็มอิ่ม
การนอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง เพราะ
ในระหว่างที่เราหลับสนิท จะเป็นเวลาที่เซลล์ผิวได้ซ่อมแซมตัวมันเอง
ถ้าอยากสวยเป็นสาวหน้าใสปิ๊ง ก็ต้องนอนให้หลับสนิททุกคืน หากคุณ
มีปัญหาในการนอน ลองทำตามวิธีต่อไปนี้ดูค่ะ อาจช่วยให้คุณนอนหลับ
ฝันดีได้

++ หลีกเลี่ยงอาหารหนักก่อนเข้านอน เพราะจะทำให้กระเพาะอาหาร
ทำงานหนัก ทำให้คุณหลับไม่สนิท
++ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนเข้านอน จะช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
++ลาเวนเดอร์เพียง 2-3 หยดบนหมอนใบนุ่ม จะช่วยให้หลับสบาย
ฝันหวานตลอดคืน…

7. อาหารดี ๆ เพื่อผิวใส
นอกจากผักสดและผลไม้ ซึ่งเพียบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว
ควรรับประทานเนื้อปลาทะเลบ้าง เพราะโปรตีนจากเนื้อปลา ช่วย
เสริมสร้างเนื่อเยื่อคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้ผิวแน่นตึง แข็งแรง
และคงความอ่อนเยาว์

8. ล้างพิษเพื่อผิวสวย
วิธีล้างพิษง่าย ๆ ก็คือ ตื่นนอนทุกเช้า ให้จิบน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมกับ
น้ำมะนาวหนึ่งเสี้ยว นอกจากจะขจัดอาการซึมเซายามเช้าแล้ว
ยังช่วยชะล้างพิษที่คั่งค้างในตับ ทำเป็นประจำ จะช่วยให้ผิวพรรณ
สดใส

9. อย่ามองข้ามการออกกำลังกาย
ออกกำลังกายเป็นประจำ ด้วยการเดินนี่แหล่ะ เวิร์คแล้ว เช่นเดินไป
ขึ้นรถ เดินไปซื้อของ หรือเดินขึ้นบันได นอกจากจะช่วยกระตุ้นการ
ไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งแล้ว ยังช่วยกระชับ
กล้ามเนื้อขา และก้น ให้เต่งตึงเป็นของแถม อย่าขี้เกียจเดินเสียล่ะ

10. อารมณ์ดีเสมอ
เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดติด รู้จักให้อภัย รวมทั้งหยุดเปรียบเทียบตัวเอง
กับใคร ๆ และจงภูมิใจกับสิ่งที่มี และสิ่งที่เป็นอยู่ เมื่ออารมณ์ดี ไม่เครียด
เสียอย่าง ผิวพรรณก็ย่อมสดใส ไม่หม่นหมองแน่ ๆ

สูตรเด็ดสำหรับสาวผิวใส

{ วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 }


นี่เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้ผิวหน้าใสปิ๊ง เรียบเนียน
แต่ที่สำคัญไม่ต้องไปลงทุนลอกหน้า ขัดผิว ให้เปลืองกะตังค์

1. เลือกแต่งหน้าอ่อน ๆ ให้ดูเป็นธรรมชาติเข้าไว้
โดยใช้เครื่องสำอางเพียงเล็กน้อย และแต่งหน้าให้
ดูบางเบา และลองใช้ลิปกลอส แต้มเรียวปาก แค่นี้
ก็ช่วยให้ใบหน้าดูสดใส โดยไม่ต้องใช้เวลานาน

2. มาสค์พอกหน้าจากมะละกอ
นำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอ
จะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้
ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง

3. ดื่ม ชาผสมน้ำผี้ง
จะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ผิว
สดใส มีเลือดฝาด แต่ไม่ควรเทน้ำเดือดจัดๆ ลงในน้ำผึ้ง
เพราะอาจทำให้สารที่มีประโยชน์ในน้ำผึ้ง สลายตัวได้

4. ใช้ Facial scrubs
ใช้ชนิดครีมหรือเจล เลือกสูตรที่ละมุนละไมกับผิวสักหน่อย แต่
ห้ามขัด ๆ ถูๆ อย่างรุนแรงนะคะ ให้ค่อย ๆชะโลมครีมแล้วนวด
เบา ๆ เนื้อครีม หรือเจล จะซึมซาบสู่ผิว ช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า
ที่เสื่อมสภาพให้หมดออก และช่วยเร่งสร้าง เซลล์ผิวใหม่ ทำ
ให้ผิวสวยใสปิ๊งกว่าเดิมค่ะ ทำเพียง 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอ

5. ดื่มน้ำผักหรือน้ำผลไม้สด
เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ช่วยให้ผิวสวย โดยที่ไม่ต้องจ่ายแพงเลย
เนื่องจากในผักผลไม้อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ ที่ช่วยในการ
สร้างเซลล์ผิวใหม่ และมีเอนไซม์ ที่ช่วยให้เพิ่มภูมิต้านทานให้
กับผิว จึงทำให้ผิวสดใส และดูอ่อนวัยเสมอ ข้อสำคัญต้องคั้นสด ๆ
แล้วดื่มทันที จึงจะได้คุณค่าของวิตามินอย่างเต็มที่

6. อย่าทำตัวให้เครียด
เพราะความเครียดจากสิ่งรอบด้าน เป็นเหตุให้ผิวหมอง ไม่สดใส
และยังก่อให้เกิดสิวได้

7. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ดื่มน้ำบริสุทธิ์อย่างน้อย วันละ 8 แก้วต่อวัน หรือรินน้ำอุ่น แล้วบีบ
มะนาวครึ่งลูก เติมน้ำผึ้งเล็กน้อย ดื่มทุกเช้า จะช่วยขจัดพิษออกจาก
ร่างกายจนหมดสิ้น ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น

8. นวดหน้าด้วยแอปเปิ้ลกับน้ำผึ้ง
สูตรนี้เหมาะมากกับสาวผิวผสม ที่มีรูขุมขนกว้าง ทำง่าย เพียงใช้
แอปเปิ้ล 1 ผลผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ เติมนมพร่องไขมัน
1 ช้อนโต๊ะ ปั่นให้เป็นเนื้อเดียวกัน นำมานวดเบา ๆ ให้ทั่วหน้า
แล้วพอกทิ้งไว้ 20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้คุณก็จะ
รู้สึกว่าผิวหน้าใส กระชับและเรียบเนียนขึ้นเลยล่ะ

พื้นฐานการแต่งหน้าง่ายๆ 7 ขั้นตอน

{ }


ขั้นตอนที่ 1

เตรียมหน้าให้สะอาด ล้างหน้าแล้ว แนะนำให้ใช้ ออย ของจอห์นสัน ชุบสำลีเช็ดหน้า 1 ครั้ง เพื่อให้ผิวชุ่มชื่นและเช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาก็ได้ (เมื่อล้างเครื่องสำอางในตอนเย็น) จะทำหรือไม่แล้วแต่สะดวกคะ (ถ้าคุณเป็นคนหน้ามันก็ไม่แนะนำให้ใช้คะ) แต่หลังจากล้างหน้าทุกครั้ง อย่าลืมเช็ด toner ด้วยนะคะ เพราะคุณสมบัติ toner จะช่วยกระชับผิว และจะเช็ดสิ่งสกปรกออกให้หมด เมื่อทำความสะอาดเสร็จแล้ว ต้องเริ่มบำรุงผิวรอบดวงตาก่อนบำรุงหน้า ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เลือกให้เหมาะกับผิว ยิ่งถ้ามี UV หรือ SPF ด้วยยิ่งดี ค่าไม่ควรเกินความจำเป็น หรือถ้าหากคุณเป็นคนหน้ามัน ก็อย่าลืมครีมบำรุงประเภท ออยฟรี ลูบไล้ทั่วในหน้า หรือ ประเภท ทีโซน เหมาะกับผิวผสมที่จะมันเฉพาะบริเวณหน้าผาก จมูก และคาง ใช้ลูบไล้ตามจุดทีโซนเหล่านั้น ขั้นตอนต่อไปคือการปรับสภาพผิว เพื่อให้ผิวมีสีที่เท่ากัน ใช้ครีมปรับสภาพผิว(base) หรือใช้ครีมรองพื้นเลยก็ได้ ควรเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวมัน เพราะจะทำให้ผิวอุดตันง่าย หากมิได้แต่งหน้าไปงานก็เลือกเฉพาะครีมปรับสถาพผิว หรือแต้มครีมรองพื้นเพียงบริเวณที่มีจุดด่างดำหรือริ้วรอยหมองคล้ำก็เพียงพอ การเลือกใช้โทนสีก็ให้เหมาะกับสีผิวมากที่สุด แต่งหน้าอ่อนๆ ธรรมดาไม่จำเป็นต้องใช้ก็ได้คะ ใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดทั่วใบหน้า เพื่อความชุ่มชื่น (ไม่ใช้ก็ไม่ว่ากัน)

ขั้นตอนที่ 2

การลงแป้ง แนะนำให้ใช้วิธีแตะแป้งที่ตลับแล้วแตะที่หน้าให้ทั่ว ให้เหมือนการซับเหงื่อ อย่าถูแป้งไปมาบนหน้า เพราะจะทำให้แป้งผสมกับครีมต่างๆ ที่ทาลงไป ซึ่งจะทำให้หน้าด่าง ไม่เรียบสม่ำเสมอ ถ้าเป็นคนหน้ามันก็ใช้แป้งที่มี ออยฟรี ในทาชั้นนี้ ถ้าต้องการความติดทนนาน แต่ดูบางเบาก็ใช้แปรงใหญ่ๆ แตะแป้งประเภทฝุ่น ปัดที่ใบหน้าให้ทั่วอีกทีก็ได้ แป้งในชั้นนี้ เลือกโทนสีให้ใกล้เคียงสีผิวที่สุด อย่าใช้แป้งที่มีสีคล้ำกว่าผิว ถ้าต้องการให้ใบหน้ามีมิติ หรือเน้นให้น่ามอง ควรจะมีแป้งตลับเล็กๆ ขนาดทดลองติดไว้ ให้โทนสีขาวกว่าสีผิว 1 เบอร์ ใช้แปรงใหญ่แตะแป้งแล้ว ลูบไล้ตามหน้าผาก จมูก โหนกแก้ม คาง เพื่อเพิ่มความสว่างบนใบหน้า วิธีนี้ง่ายกว่าการใช้ครีมรองพื้นสองเฉดสีแต่งหน้า เพราะจะไม่สะดวกกับผู้ที่ไม่ถนัดในการเกลี่ยครีมรองพื้น

ขั้นตอนที่ 3

เริ่มแต่งหน้าจากส่วนบนของใบหน้า ไล่ลงมาเรื่อยๆ จุดแรกคือส่วนคิ้ว ใช้แปรงปัดคิ้วปัดให้เส้นคิ้วเป็นระเบียบ หากต้องการคิ้วที่เรียวงาม ก็ควรจะกันส่วนเกินออกซะก่อน หรือจะถอนออกก็ไม่ว่า ใช้ดินสอเขียนคิ้ว ระบายตามคิ้ว ไม่ต้องลงหนักมาก เพราะจะทำให้เส้นหนักแก้ไขยาก หรือถ้าต้องการคิ้วที่นุ่มนวลบางเบา ให้ใช้ดินสอเขียนคิ้วเขียนลงบนแปรงปัดคิ้วเลย แล้วใช้แปรงปัดคิ้วปัดที่คิ้วตามต้องการ ก็จะได้เส้นคิ้วที่กลมกลืนกับใบหน้ายิ่งขึ้น หากต้องการเน้นให้คิ้วเข้มขึ้นอีกนิด เทคนิคๆง่ายๆ ก็เพียงใช้แปรงมาสคาร่าที่ปัดที่ขนตาเรียบร้อยแล้ว (ให้เหลือเนื้อครีมมาสคาร่าที่ติดอยู่ที่แปรงเพียงเล็กน้อย) ปาดตามแนวคิ้วเบาๆ อย่าลงมือหนัก เพราะจะทำให้ก้อนเนื้อครีมที่แปรงติดที่คิ้วไม่น่าดูเลยคะ ถ้าพลาดไปแล้วก็ใช้คัตตอนบัดเช็ดออกแล้วกันคะ โทนสีที่เลือกใช้กับคิ้ว ก็ให้เหมาะกับสีผิวเราเองนะคะ แต่พยายามหลีกเลี่ยงสีดำนะคะ เพราะจะทำให้คิ้วลอยเด่นออกมาเกินไป และยากต่อการแต่งหน้าส่วนอื่น อันนี้แนะเป็นการส่วนตัว หากใช้สีที่ออกเทาดำ หรือม่วงแดงเข้มๆ หรือน้ำตาลเข้มๆ จะดูธรรมชาติกว่าคะ จะเลือกใช้เข้มแบบไหนก็ต้องดูให้เข้ากับเฉดสีของตา และเสื้อผ้าด้วยนะคะ

ขั้นตอนที่ 4

การแต่งตา อย่าลืมใช้ครีมปกปิดริ้วรอยที่ใต้ดวงตาก่อนนะ ถ้าไม่จำเป็นก็ตัดออกไปเลย เราควรเลือกเฉดสีที่เข้ากับเสื้อที่เราใส่ หรือไม่ก็โทนสีรวมๆ ของใบหน้า เช่น เราอยากจะแต่งหน้าออกโทนชมพู หรือโทนน้ำตาล หรือเราใส่เสื้อสีเทา สีฟ้า ก็ต้องแต่งให้เป็นโทนสีฟ้า ต้องตัดสินใจไว้ก่อน ลักษณะการแต่งดวงตา ก็ขึ้นอยู่กับพื้นผิวรอบดวงตาของแต่ละคน บางคนมีเนื้อที่มาก ทำให้เป็นรอบพับบนเปลือกตาเยอะ บางคนตาชั้นเดียว แต่ไม่ว่าจะเป็นสีใดก็ต้องเลือกให้เข้ากัน ควรจะมีเฉดสีไม่ต่ำกว่า 2 สี คือสีอ่อน และเข้ม อุปกรณ์ที่ควรจะมีคือแปรงทาตาที่เป็นหัวแปรงไว้ทาเวลาต้องการพื้นที่มาก และแปรงที่เป็นขน ใช้เวลาต้องการเน้น และเกลี่ยให้เข้ากัน เมื่อทาตาเรียบร้อยแล้ว หากต้องการเน้นดวงตาที่กลมโต ก็ให้ดินสอเขียนขอบตามาช่วยทั้งขอบตาล่างบน แต่การใช้จำเป็นต้องมีความชำนาญ มิฉะนั้น อาจทำให้อายแชโดว์ที่ทาไปแล้วหมดสวยได้ หากบางคนที่มีบริเวณรอบตาสวยอยู่แล้ว การแต่งตาก็เพียงแต่เขียนขอบตาอย่างเดียว เพื่อเน้นดวงตา โดยไม่ต้องพึ่งอายแชโดว์ก็ทำให้ใบหน้าดูกลมกลืนได้เหมือนกัน และชั้นสุดท้ายคือการปัดมาสคาร่า เลือกใช้โทนสีให้เหมาะสมกับโทนสีบนใบหน้า หากคุณมีขนตาสั้น ตรง ก็ควรใช้ที่ดัดขนตาก่อนดัดขนตาตอนปลายครั้งนึง แล้วขยับที่ดัดให้เข้าไปกลางเส้นขนตาอีกทีนึง ก็เพียงพอแล้ว อย่าขยับที่ดัดเข้าไปถึงโคนขนตา ไม่งั้นที่ถูกดัดจะเป็นหนังตาแทนได้ การดัดควรถือนิ่งไว้สักอึดใจ หรือนับ 1-10 แล้วจึงปัดมาสคาร่า ให้ปัดที่ปลายขนตาก่อน เพื่อบังคับให้ขนตาเชิดงอนขึ้น สัก 2-3 ครั้ง แล้วปัดทั้งเส้นขนตาทับอีก 1 ครั้ง หากปัดทั้งเส้นขนตาให้ตอนแรก จะทำให้ขนตาดูหนา ยาวก็จริง แต่จะยากในการบังคับให้ขนตางอนเชิดขึ้น ดังนั้นหากต้องการให้งอนงามอย่าปัดทั้งเส้น เน้นปัดแต่ปลายๆ จะได้งอนอยู่นานๆ

ขั้นตอนที่ 5

การทาปาก แนะนำให้มีพกไว้เลยหนึ่งแท่งคือดินสอเขียนขอบปากเฉดสีน้ำตาลเข้ม (สำหรับผู้ที่มีลิปสติกโทนสีน้ำตาลเยอะ) หรือสีม่วงแดงเข้ม (สำหรับผู้มีลิปสติคโทนสีชมพูหรือสีแดงเยอะๆ) เพราะปากจะดูสวย เป็นรูปได้ก็เพราะการเขียนขอบปากนี่แหละ ต้องฝึกเขียนขอบปากตัวเองให้ชำนาญมากๆ นะคะ พยายามเขียนให้เป็นเส้นขอบที่เล็กกว่าปากจริง เพราะถ้าพลาด ก็ยังมีพื้นที่พอจะตกแต่งแก้ไขได้ หากเขียนเลยขอบปากจริงออกไป จะทำให้แต่งยากและดูปากหนา ไม่สวยเลยคะ และถ้ามันเกิดขึ้นก็ใช้คัตตอนบัดลบขอบที่เกินออกมาก็ได้ ต่อไปคือการใช้ลิปสติก ลงลิปมอยส์เจอร์ไรเซอร์อย่างเช่น วาสลีน หรือลิปมันซะก่อน ทาไว้ขณะทาครีมบำรุงผิวหน้าก็ได้ เลือกใช้สีลิปสติคให้เหมาะกับโทนสีตาและเสื้อผ้า การทาก็ทารอบแรกให้ทั่วริมฝีปาก หลังทาแล้วสัก 10 วินาที ให้เม้มปาก หรือเม้มบนกระดาษทิชชู่ แล้วทาลิปสติกทับซ้ำอีกครั้ง การทาลิปสติกจากแท่งจะทำให้สีเข้มข้นและติดทนนาน หรือจะทาด้วยพู่กันทาปากก็ได้ และสีที่ทาก็จะดูบางเบา เหมาะสำหรับคนที่แต่งหน้าอ่อนๆ จะจบการทาลิปสติกแค่นี้ก็ได้ไม่ว่ากัน แต่ถ้ารักที่จะสนุกสนานไปกับสีสันบนใบหน้าของคุณ ก็ลองผสมสีของลิปสติดดูสิคะ เพราะเคล็ดลับในการทาลิปสติกให้สวย และแปลกตา ไม่ซ้ำซาก คือการผสมผสานสีของลิปสติก แน่นอนควรจะมีลิปสติกสัก 2 แท่งเป็นอย่างน้อย หากยังผสมไม่เป็นก็ต้องฝึกผสมๆ ทุกวันจนเก่งนะคะ การผสมก็เพียงแค่ทาสีที่อ่อนกว่า หรือลิสปติกที่มีความมันวาว ลงทับไปอีกที ง่ายๆ คะ โทนสีที่ออกจะเป็นที่นิยมก็จะออกเป็นแนวเมทาลิค หรือโทนออกซิลเวอร์ หรือเป็นแบบมันวาว จะทาทับสีพื้นทั้งริมฝีปาก หรือจะแต่งแต้มแค่ตรงกลางริมฝีปากล่างก็ได้ จะทำให้ปากเราดูอวบอิ่มชวนมองขึ้น การผสมสีลิปสติกจะทำให้โทนสีของการแต่งหน้าดูนุ่มนวลขึ้น เพราะหากบางคนเลือกใช้ลิปสีติกที่มีสีเข้มจัด หรือฉูดฉาดไป การผสมสีลิปสติกอีกแท่งลงเพื่อปรับโทนสีให้อ่อนลง แต่ยังคงความสดใสของสีเดิม การผสมผสานนี้ก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคและความชอบของแต่ละคนนะคะ เพราะฉะนั้นต้องไปลองทำและค้นหากันเองคะ

ขั้นตอนที่ 6

การเสริมใบหน้าให้เปล่งปลั่งด้วยการปัดแก้มด้วยบรัชออน จะทำให้ดูเหมือนคุณมีสุขภาพผิวที่ดี เหมือนผิวหลังการออกกำลังกาย ขั้นตอนง่ายๆ เพียงแค่คุณใช้แปรงปัดแก้มอันใหญ่ๆ ปัดลงบนโหนกแก้ม บริเวณใต้ปลายตาถึงจมูกลงมา ปัดเป็นลักษณะปัดลงจากปลายหางตา จนถึงแก้มตรงเสมอปีกจมูก และใช้แปรงที่เหลือไม่ต้องแตะบรัชออนใหม่ ปัดตรงขมับทั้งสองข้าง แล้วเกลี่ยให้ทั่วหน้าผาก จมูก คาง จะทำให้หน้าดูกลมกลืนกัน ไม่ลอยออกมาแค่เฉพาะโหนกแก้ม โทนสีก็แนะว่าให้มีโทนชมพู หรือแดงอิฐ เอาไว้ติดบ้านเลย เลือกดูตามแต่ผิวของคุณว่าเหมาะกับสีไหน หรือถ้าชอบแต่งหน้าโทนน้ำตาลเป็นประจำ ก็เลือกซื้อบรัชออนโทนสีน้ำตาล แต่โทนออกชมพูระเรื่อ จะดูสวยเป็นธรรมชาติกว่า

ขั้นตอนที่ 7

ในขั้นสุดท้ายสำหรับการแต่งหน้า คือการเติมไฮไลท์หรือแป้งแวววาว ถ้าแต่งหน้าปกติตอนกลางวัน ก็ลูบไล้แป้งเพียงนิดหน่อย เพื่อความสดใสของใบหน้า แต่ถ้าเป็นงานกลางคืน แป้งไฮไลท์จะแวววาวระยิบระยับดูน่าชวนมอง หรือจะเติมแต้มตามส่วนผิวหนังของร่างกาย เช่นบริเวณเหนือร่องออก แขน ก็จะดูออกเซ็กซี่ไม่น้อย การปัดไฮไลท์ให้ทั่วหน้า ก็ใช้แปรงปัดแก้มใหญ่ๆ เกลี่ยให้ทั่วหน้า และจะได้ลบแป้งหรือส่วนเกินออกจากใบหน้าได้ด้วย ใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดทั่วใบหน้าอีกครั้ง เลือกที่มีคุณสมบัติช่วยให้เครื่องสำอางติดทนนาน จะทำให้การแต่งหน้าของคุณคงทนไปตลอดวัน

วิตามินผู้พิทักษ์ผิว

{ วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 }


ในอาหารมากมาย ทั้งผักสด ผลไม้ เนื้อสัตว์ และธัญพืช เป็นแหล่งสำคัญของสารอาหาร ที่ผิวต้องการ มาติดตามกันว่าแต่ละชนิดนั้นมีบทบาทในการดูแลผิวของคุณให้แข็งแรง มีสุขภาพดีอย่างไร

วิตามิน A
1. บำรุงผิวให้แข็งแรง
2. ป้องกันสิว
3. ลดการสร้างไขมันส่วนเกิน
4. จำเป็นต่อการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ
5. เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ของผิวในการกำจัดพิษต่างๆ
6. ถ้าขาดวิตามิน A จะทำให้ผิวหยาบกร้าน

วิตามิน B complex
1. ช่วยดูแลซ่อมแซมสุขภาพและสีผิว
2. ถ้าขาดวิามินนี้ จะทำให้ผมและขนหยาบด้านไม่มีชีวิตชีวาผิวหนังแห้ง และเกิดสิว
3. ไธอามีน (วิตามิน B1) เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ และช่วยให้การผลัดผิวมีประสิทธิภาพขึ้น
4. ไรโบฟลาวิน (วิตามิน B2) เป็นสารบำรุงเส้นผม เล็บ และผิวหนัง
5. แพนโทเทนิค แอซิด (วิตามิน B5) ช่วยต้านความเครียดที่จะทำให้ผิวหม่นหมอง

วิตามิน C
1. เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ
2. จำเป็นต่อระบบเมตาบอลิซึมของร่างกาย
3. เมื่อรับประทานร่วมกับวิตามิน E จะช่วยเพิ่มพลังในการปกป้องผิวจากแสงแดด
4. ต้านความเครียด และเพิ่มภูมิต้านทานของผิว

วิตามิน D
1. ส่งเสริมให้ผิวหายใจได้ดียิ่งขึ้น ดูสดใสเปล่งปลั่ง
2. ต้านความเครียด โรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคเรื้อนกวาง เชื้อรา และสิว เป็นต้น

วิตามิน E
1. แอนตี้ออกซิแตนท์ รักษาและซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย
2. ชะลอความชราของผิว
3. ปกป้องการถูกทำลายของเซลล์ผิวหนัง

ไบโอติน
1. บำรุงผิวหนัง เส้นผม และเล็บให้แข็งแรง
2. ถ้าขาดไบโอติน ผิวจะแห้งและซีด ไม่สดใส

โครเมี่ยม
1. ช่วยต้านทานการติดเชื้อของผิวหนัง

สังกะสี
1. ช่วยเยียวยาเนื้อเยื่อของร่างกาย
2. ช่วยป้องกันรอยแผลเป็น
3. ควบคุมการทำงานของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง
4. เสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
5. ช่วยให้แผลหายเร็ว



ทำสวยด้วยมะละกอ

{ }


มะละกอ เป็นพืชที่ชาวต่างประเทศรู้จักกันในต้นไม้จำพวก Asmina Triloba ซึ่งอยู่ทางตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือ ว่ากันว่ามะละกอนั้นเป็นพืชที่มากไปด้วยสารอาหาร

อุดมไปด้วยวิตามินซีซ้ำยังช่วยบำรุงรักษาเส้นเลือดฝอยให้มีความแข็งแรง มีสารช่วยทำให้รอยฟกช้ำดำเขียวนั้นจางหายไปได้ (ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการกระแทกหรือการปะทะกับวัตถุของแข็งอย่างรุนแรง )

และยังช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซม และบำรุงรักษาปรับสภาพผิวของคุณให้มีความสดใส เปล่งปลั่ง และดูอ่อนเยาว์กว่าวัย

นักวิจัยยังค้นพบว่าในมะละกอนั้นมีสาร Betacarotine เป็นจำนวนมาก และยังช่วยสร้าง Collagen (โปรตีนประเภทหนึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กระดูกเนื้อเยื่อ และฟัน) และ Elastin (โปรตีนของเนื้อเยื่อในร่างกายที่ยืดหยุ่นได้ เช่น เอ็น กระดูกอ่อน) ให้กับร่างกาย นอกจากนี้ยังสร้างภูมิคุ้มกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต


เห็นประโยชน์มากมายขนาดนี้ เรามาดูกันซิว่ามีวีทำสวยด้วยเจ้ามะละกอนี้ได้อย่างไรกันบ้าง

สูตรหน้าใส
นำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด จากนั้นนำมาพอกให้ทั่วผิวหน้า เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายไปแล้วให้หมดได้ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นนำผ้าขนหนูค่อยๆ ซับใบหน้าจนแห้ง คุณจะรู้สึกว่าผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่งขึ้น

สูตรลบรอยด่างดำ
โดยการนำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้าทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออกจะช่วยให้ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น

สูตรผิวเนียน
นำมะละกอสุกบดผสมกับน้ำมันบริสุทธิ์ และกลิ่นลาเวนเดอร์ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน แช่ในน้ำร้อนให้ส่วนผสมทั้งหมดพออุ่นๆ จากนั้นก็นำมาพอกหน้าแล้วอบด้วยผ้าห่มไฟฟ้า ถ้าไม่มีใช้ผ้าขนหนูอุ่นๆ แทนก็ได้ ทิ้งไว้สัก 25 นาทีแล้วล้างออก สูตรนี้ช่วยให้ผิวหน้าดูเนียนขึ้น

ในเมื่อทราบแล้วว่ามะละกอนั้นมีประโยชน์กับร่างกายและผิวหน้าของคุณเพียงใด ก็อย่าลืมที่จะนำมะละกอรับประทานหรือบำรุงและเลือกปฏิบัติให้เหมาะสมนะคะ แต่ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ชนิดไหนก็มีประโยชน์เหมือนกันทั้งนั้น เพียงแต่ต้องรู้จักที่จะเลือกรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายและที่สำคัญอีกอย่างก็คือ ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอด้วย คราวนี้ล่ะคุณก็จะสมบูรณ์ทั้งสุขภาพกายและจิตใจ แถมผิวพรรณยังเปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้นอีกด้วยค่ะ

วิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติ

{ วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 }


น่าสนใจดีโดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทุกวันหรือ ใช้ปาล์มบ่อยๆ

วิธีนี้คิดค้นขึ้นโดยจักษุแพทย์ชาวอเมริกันชื่อว่า
นายแพทย์ วิลเลียม เอช. เบตส์ (ค.ศ. 1860-1931)

วันหนึ่งนายแพทย์เบตส์กลับจากทำงานด้วยดวงตาอันอ่อนล้า
เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานในห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟ
วางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ
โค้งอุ้งมือทั้งสองวางครอบดวงตาของตน
หลับตาพักผ่อนในท่านั้นอยู่สิบนาที
พอลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขารู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยดวงตาหายไป
แถมมองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องชัดเจนขึ้นกว่าเก่าอีกด้วย

จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนายแพทย์เบตส์ได้ค้นคิดวิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติ
เพื่อพักผ่อนกล้ามเนื้อตาและช่วยรักษาสายตาให้ดีขึ้น
นายแพทย์เบตส์เขียนหนังสือชื่อ Perfect Sight without
Glasses เป็นที่นิยมแพร่หลาย แม้ภายหลังเขาเสียชีวิต
แต่วิธีการของนายแพทย์เบตส์ยังได้รับการเผยแพร่โดยแพทย์ทั้งหลาย
ทั่วยุโรปและอเมริกา "วิธีของเบตส์" มี 7 ท่าด้วยกัน

ท่าที่ 1 ครอบดวงตา
โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ
ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา
นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น
วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเล
อยู่ในท่านี้สัก 10 นาที

ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ
ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่
สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใส
มีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น
มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวย
เห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจน
สายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริงๆ
ของเราได้เป็นอย่างดี

ท่าที่ 3 กวาดสายตา
มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา)
กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง
ทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย

ท่าที่ 4 กะพริบตา
ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที
ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง
โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแท็กต์เลนส์ยิ่งจำเป็น

ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล
เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด
ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน
ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.)
โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อยๆ
เมื่อโอกาสอำนวย

ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา
ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20
ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง
ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น
การจบด้วยน้ำเย็น
ทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน
ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่ง
แต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น
จะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลาย ก่อนเข้านอน

ท่าที่ 7 แกว่งตัว
ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวา
ถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกลๆ
แต่ไม่ต้องจ้อง
ปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัว
ท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำบ่อย ๆ
เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้

"วิธีของเบตส์"
ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา
ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก...

5 ปัญหาผิวพรรณยอดฮิต แก้ได้ด้วยวิตามิน

{ }




5 ปัญหาผิวพรรณยอดฮิต แก้ได้ด้วยวิตามินค่ะ

1. ปัญหารอยจาง ๆ บนใบหน้าหรือรอยย่นของวัย
เลือกใช้ : วิตามินเอ

นอกจากการเลือกใช้เครื่องสำอาง เพื่ออำพรางริ้วรอยต่าง ๆ ของวัยแล้ว
การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอล หรือ เรตินเอ ซึ่งเป็น
วิตามินเอชนิดหนึ่ง ก็สามารถลดริ้วรอยจาง ๆ ของผิวได้ โดยมีผลการ
วิจัยจาก วารสารของสมาคมแพทย์ผิวหนังของสหรัฐ ล่าสุด ยืนยันว่า
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลเอ ในปริมาณเพียง 1 % ก็เพียงพอ
ที่จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้โครงสร้างของผิวมีความ
ยืดหยุ่นดีขี้น และช่วยลดริ้วรอยของวัยได้ แต่เครื่องสำอางโดยทั่วไป
มักมี เรตินอลเอ ในปริมาณ 0.05-0.5 % จึงอาจทำให้เห็นผลได้ช้าขึ้น
ดังนั้นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว จึงควรตรวจสอบว่า มีเรตินอลเอ
อยู่ในปริมาณที่เหมาะสมหรือไม่

2. ปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่าย
เลือกใช้ : วิตามินบี 3

สำหรับคนที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว โดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์ประเภท
glycolic , salicylic acid รวมทั้ง AHA เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะค่อนข้าง
รุนแรงต่อผิว และอาจทำให้เกิดปัญหาการแพ้ได้มากขึ้น Zoe Draelos
แพทย์ผิวหนังจากมหาวิทยาลัย เวค ฟอเรส ในนิวยอร์ค แนะนำให้ผู้ที่
มีปัญหาผิวบอบบาง แพ้ง่าย ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินบี 3 หรือ
ไนอาซิน (niacin) ซึ่งจะมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ระคายเคืองต่อผิว
ได้น้อยกว่า

3. ปัญหาผิวพรรณจากแสงแดด ( กระ ฝ้า และริ้วรอย)
เลือกใช้ : วิตามินซี

มีผลการศึกษาที่ลงพิมพ์ในวารสาร the Journal of Applied Cosmetology
ฉบับเดือนตุลาคม 1999 ระบุว่า วิตามินซี มีผลดีต่อผิวโดยทำหน้าที่
เหมือน สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยปกป้องผิวจากรังสีของแสงแดด
รวมทั้งมลภาวะต่าง ๆ ที่อาจทำให้เกิด กระ จุดด่างดำบนผิวหน้า รวมทั้ง
อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้ แต่อย่างไรก็ตาม การจะได้ผลิตภัณท์ที่มี
ส่วนผสมของวิตามินซี ให้ได้ผลนั้น ลิตภัณฑ์ดังกล่าว ควรมีวิตามินซี
ผสมอยู่ในปริมาณ 10 % หรือสูงกว่า และควรใช้ทุกวันก่อนออกจากบ้าน
เหมือนกับการใช้ครีมป้องกันแดด

4. ปัญหาผิวแห้ง หรือผิวหยาบกร้าน
เลือกใช้ : วิตามินบี 5 หรือวิตามินอี

วิตามินทั้งสองชนิดนี้ มักจะรู้จักดีว่า เป็นเสมือนสารมอยส์เจอร์ไรเซอร์
ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว แต่วิตามินอียังทำหน้าที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์
ได้ดีอีกด้วย แต่ผลการวิจัยจาก มหาวิทยาลัยไมอามี เมื่อเร็ว ๆนี้
ระบุว่า ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินที่มีขายกันในตอนนี้ ยังไม่มี
ผลดีต่อการลดริ้วรอย แพทย์ผิวหนังจึงแนะนำให้ใช้วิตามิน เพื่อเพิ่ม
ความชุ่มชื้นให้แก่ผิวมากกว่าที่จะหวังผลในด้านช่วยลดริ้วรอยของวัย


5. ปัญหารอยคล้ำใต้ตา
เลือกใช้ : วิตามินเค เรตินอลเอ หรือวิตามินซี

ปัญหารอยคล้ำใต้ตานั้น บางครั้งก็ไม่ได้เกิดจากการอดนอนเสมอไป
เพราะอาจจะมีสาเหตุมาจากการเป็น โรคภูมิแพ้ การขยี้ตาบ่อย ๆ
สูบบุหรี่ หรือจากกรรมพันธุ์ก็ได้

วิตามินเค จะช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น จึงทำให้สีผิว
บริเวณนี้หายคล้ำลงได้ และมีผลการวิจัยล่าสุด พบว่า การใช้วิตามินเค
1 % ผสมกับ เรตินอลเอ ปริมาณ 0.15 % จะมีผลดีต่อการลดรอยคล้ำ
ใต้ตาได้อย่างชัดเจนขึ้น แต่ก็อาจจะเกิดปัญหาระคายเคืองได้บ้าง
Jeffrey Blumberg ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัย Tufts บอกว่า วิตามินซี
ก็ช่วยแก้ปัญหารอยคล้ำใต้ตาได้ดีเช่นกัน

แม้ว่าเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของวิตามินต่าง ๆ จะช่วยแก้ปัญหา
ของผิวพรรณได้ก็ตาม แต่ Jeffrey Blumberg ก็ยอมรับว่า การรับประทาน
อาหารในสัดส่วนที่เหมาะสม ทำให้คุณได้รับวิตามินสำคัญ ๆ ที่ร่างกาย
ต้องการอย่างครบถ้วน ก็การันตีได้ว่า คุณจะมีสุขภาพแข็งแรง
และย่อมจะมีผลดีต่อผิวพรรณในระยะยาวอีกด้วย